“ความสำเร็จ…อยู่ไกลแสนไกล” เราจึงควรจะเร่งออกเดินทางไปไขว้คว้า เพื่อโอบกอดความสุขที่ปลายทางนั้นให้ได้เพียงอย่างเดียว หรือ เราควรจะออกเดินทางอย่างละเมียดละไมและใส่ใจตลอดเส้นทาง เพื่อจะได้โอบกอดปลายทางที่งดงามไว้นาน ๆ พร้อมรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าทุกครั้งที่หันกลับไปมองเส้นทางที่เดินผ่านมา
เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกไปถึงการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่ผ่านมา ซึ่งฉันเลือก “ฟูจิซัง” เป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งของทริปด้วย มีคนรู้จักบางคนแนะนำให้ขึ้นไปชมความงามของฟูจิซังที่ชั้น 5 เพราะให้ความรู้สึกว่าได้มาถึงจริง ๆ ฉันเดาว่าคงเหมือนเวลาที่ไปเที่ยวที่ไหน ๆ แล้วต้องถ่ายรูปกับป้ายชื่อสถานที่นั้น ฉันฟังแล้วยิ้มๆ พลางคิดในใจว่านี่ถ้าไปในช่วงฤดูร้อนคงได้รับคำแนะนำให้ไปลองปีนเขาเพื่อพิชิตยอดฟูจิซังแน่ ๆ จะได้ชื่อว่ามาถึงฟูจิซังอย่างแน่แท้ ซึ่งนั่นอาจเป็นมาตรวัดความสุขและความสำเร็จของใครบางคน แต่สำหรับฉันแล้วไม่ว่าจะอย่างไรฉันก็ยังยืนยันเช่นเดิม เพราะฉันเชื่อว่าเส้นทางความสุขและความสำเร็จของคนเรานั้นต่างกันขึ้นอยู่กับองศาที่ต่างมองเห็น
มาพูดถึงความสำเร็จกันก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้คนสมัยนี้ต่างให้ความสนใจและขวนขวายมาครอบครอง ทุกคนรู้กันดีอยู่ว่า ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาอย่างง่ายดาย แต่แล้วทำไมคนมากมายไม่มีความสุขทั้ง ๆ ที่ชีวิตประสบความสำเร็จ! เรื่องนี้เป็นข้อสงสัยที่คาใจฉันมาแสนนาน มันพ่วงมากับคำถามที่ว่า แล้วเราควรจะมีความสุขก่อนแล้วถึงจะประสบความสำเร็จ? หรือ เราควรจะมีความสำเร็จก่อนแล้วค่อยประสบความสุข?
เชื่อเหลือเกินว่าคนจำนวนมากรวมทั้งตัวฉันเองที่เดิมทีมักคิดว่า “ความสุข” และ “ความสำเร็จ” เป็นความสัมพันธ์ที่ห่างไกลกันเหมือนอยู่คนละฟากฟ้า คนส่วนใหญ่มักคิดว่าชีวิตต้องประสบความสำเร็จก่อนจึงจะนำทางไปสู่ความสุขได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็นผู้คนจำนวนมากที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะด้านการงาน ชื่อเสียง ฐานะทางการเงิน ความเป็นอยู่ ครอบครัว การได้รับการยอมรับในสังคม จะดิ้นรนไขว่คว้าจนหน้าดำคร่ำเครียดเพื่อไปถึงปลายทางให้เร็วที่สุด เพราะผู้คนเหล่านั้นคิดว่าเมื่อตนเองประสบความสำเร็จแล้ว จะทำให้เกิดความสุขอย่างที่ใจปรารถนาตามมา ซึ่งความสุขก็มักเกิดขึ้นตามมาจริง แต่เป็นความสุขชั่วเดี๋ยวเดียว แล้วหลังจากนั้นก็มักจะเริ่มบ่นถึงความทุกข์ เพราะหมดไฟ หมดความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรต่อไป และหากไม่เฉาไปเลยก็จะดิ้นรนขวนขวายหาความสำเร็จขั้นสูงขึ้นไปเพื่อตามหาความสุขที่ไม่สิ้นสุด เหมือนพยายามไต่ขึ้นไปถึงยอดเขาแล้ว ยังดันไปมองเห็นยอดเขาอื่นที่อีกคนกำลังปีนป่าย เลยรู้สึกว่าอ้าว! ยังไม่สุขที่สุดเลยนี่
แล้วความสุขคืออะไรกันแน่ ? แล้วมันควรจะอยู่แห่งหนตำบลใดในชีวิตเรานะ ?
ศูนย์สุขภาวะทางจิต คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ได้ให้นิยามความสุขไว้ว่า ความสุขนั้นเป็นสภาวะที่บุคคลรับรู้ว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการและทำได้สำเร็จ มีความเป็นตัวของตัวเอง มีความภาคภูมิใจในการกระทำของตน มีความคิดเชิงบวก มีความกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตที่จะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดี การพัฒนาตน การมีสัมพันธภาพที่ดีกับคนรอบข้างและสังคม สามารถดำเนินชีวิตอย่างพอเพียงและมีใจที่สงบ (www.chulawellness.com)
ดูจากความหมายข้างต้นแล้วฉันเห็นว่า ความสุข ไม่น่าจะหมายถึงการอยู่นิ่ง ๆ สบาย ๆ ไม่ทำอะไรไปวัน ๆ หรือ การเอาแต่เที่ยวเตร่ ช็อปปิ้ง ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อยอย่างแน่นอน แต่คำว่า ความสุข นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับทัศนคติ การมองโลกในแง่ดี มีความพึงพอใจในตนเอง พร้อมๆ กับการก้าวไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้นและมีเป้าหมายในชีวิต โดยไม่ลืมเรื่องของความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างในแง่ของการแบ่งปันความรู้สึก รวมถึงความจริงใจ และกล้าที่จะไว้วางใจผู้อื่นได้
ส่วนคนที่ชอบมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ลบ คอยหาแต่จุดอ่อนของคนรอบข้าง หรือ มองเห็นแต่ปัญหารอบด้านแล้วหยิบยกขึ้นมาเป็นอุปสรรคในชีวิต ต่อให้คนเหล่านั้นเก่งแสนเก่งขนาดไหนหรือมุ่งมั่นขนาดไหนก็คงจะมีความก้าวหน้าได้แค่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะมัวแต่วิตกกังวลกลัวไปหมดทุกสิ่งและยังไม่เคยคิดชื่นชมคนอื่น ๆ ด้วยความจริงใจ จิตที่คิดลบตลอดเวลาก็จะเป็นพลังดึงดูดแต่ปัญหาและอุปสรรคมาให้เราเสมอ เปรียบเสมือนว่าถ้าคนกลุ่มนี้จะต้องปีนขึ้นยอดเขาฟูจิซัง เขาจะรู้สึกวิตกกังวลกลัวจะพลาด กลัวเจ็บ กลัวคนหัวเราะเยาะ กลัวคนอื่นไปถึงก่อน หากอุปกรณ์ไม่ครบ หรือ เผชิญอากาศที่หนาวเหน็บ เขาจะรีบยกมาเป็นข้ออ้างที่จะเลิกเดินหน้าต่อได้ง่าย ๆ และคนกลุ่มนี้จะพบปัญหาไม่รู้จบในการเดินทางด้วยสายตาที่มองหาและเห็นแต่เรื่องร้าย ๆ ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งมองโลกในแง่บวก มีทัศนคติว่าทุกอย่าง “ทำได้” ไม่ท้อถอยเมื่อเจอปัญหา ไม่มองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคแต่กลับมองเป็นความท้าทาย มองอย่างชื่นชมเพื่อนร่วมทางที่เก่งกว่าเป็นแบบอย่าง คนกลุ่มนี้จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวั่นไหว มีพลังมุ่งมั่น อดทน พัฒนาตนเอง และมองเห็นโอกาสที่จะไปให้ถึงยอดเขาอยู่เสมอ ทั้งยังพร้อมที่จะแบ่งปันทั้งความล้มเหลว ความสุขระหว่างทาง รวมถึงความสำเร็จที่ยอดเขาให้กับคนอื่นๆ อย่างภาคภูมิใจ
เช่นนั้นแล้วการเลือกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและรู้สึกดีพร้อมใส่ใจกับสิ่งที่เป็นเป้าหมายตั้งแต่จุดแรกเริ่มที่จะออกเดิน บนระหว่างทางที่เดิน และแม้กระทั่งในขณะที่ได้ประสบพบเจอความสำเร็จนั้น จะทำให้เรามีพลังที่มุ่งมั่นและอยากที่จะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างมีความสุข อดทนและยาวนานได้มากขึ้น เพราะแน่นอนว่าปลายทางความสำเร็จนั้นมักยาวไกลกว่าที่จินตนาการไว้เสมอด้วยมีความกลัวและกังวลปะปนอยู่ด้วย หากไม่มีความสุขกับความรู้สึกที่ดีดีกับสิ่งที่ทำและเรื่องราวต่าง ๆ ที่รายล้อมอยู่ก็จะอดทนได้น้อยลงและนำไปสู่การล้มเลิกอย่างง่ายดาย และเมื่อปีนป่ายไปถึงยอดเขาได้แล้วเราจะซึมซับความสวยงามของทิวทัศน์แห่งความสำเร็จนี้ได้อย่างละเมียดละไมยาวนานยิ่งขึ้นอีกด้วย เพราะความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ปลายทางนั้นเป็นผลลัพธ์รวมของความสำเร็จในก้าวเล็ก ๆ หลาย ๆ ก้าวที่สวยงามในระหว่างการเดินทางขึ้นเขา
ไม่ว่ายอดเขาแห่งความสำเร็จนั้นจะเป็นการพิชิตยอดฟูจิซัง หรือ การสัมผัสฟูจิซังที่ชั้น 5 หรือ การชื่นชมฟูจิซังจากทะเลสาบคาวากูจิ ก็ล้วนเป็นเป้าหมายที่ผู้คนต่างเลือกแล้วตามความสุขและความรู้สึกดีดีภายในใจของตนเอง ซึ่งการมีความสุขในระหว่างการเดินทางนั้น ๆ ก็เป็นเสมือนโอโซนชั้นเลิศที่คอยหล่อเลี้ยงก้าวเล็กๆ ของความสำเร็จให้มีพลังมุ่งมั่นจนถึงปลายทาง และนั่นจะยิ่งทำให้เราได้สูดความสุข ณ จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จได้อย่างเต็มปอดและยาวนานขึ้น
แล้วแบบนี้ ฉันจะไม่เลือกที่จะสุขตั้งแต่เริ่มต้นก้าวแรกได้อย่างไร…และนี่คือ เส้นทางหนึ่งของการเดินทางสู่ยอดเขาแห่งความสำเร็จในนิยามที่ฉันเลือกทำแล้วมีความสุขและรู้สึกดีดี คือ การสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ส่งมอบความสุขผ่านตัวอักษรให้ผู้คนได้สัมผัส และคอยขอบคุณและชื่นชมผู้คนรายรอบที่เป็นต้นแบบแห่งความสุขในใจฉันอยู่เสมอไม่ว่าความสุขเหล่านั้นจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ก็ตาม…รู้สึกขอบคุณและรักผู้อ่านทุกคนที่ตั้งใจอ่านจนจบนะคะ
ตีพิมพ์ในนิตยสาร “คู่บ้าน” เดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2558 ฉบับ 51 (ปรับปรุง)